แหล่งท่องเที่ยวศิลปวัฒนธรรมตะวันตก กรุงโรม ประเทศอิตาลี
ประวัติศาสตร์
โรมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ตอนกลางของประเทศ โดยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรในอดีตมากมาย เช่น ราชอาณาจักรโรมัน สาธารณรัฐโรมัน และจักรวรรดิโรมัน โรมเคยเป็นเมืองที่มีบทบาทมากที่สุดของอารยธรรมตะวันตก และในอดีตได้เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันได้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1870
ประวัติศาสตร์ตอนต้น
หลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ที่เป็นโรมในปัจจุบัน มีมนุษย์เข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างน้อย 14,000 ปีมาแล้ว แต่มีชั้นเศษหินหนาที่อายุน้อยกว่านั้นมากปกคลุมชั้นผิวดินตั้งแต่ยุคหินเก่าและยุคหินใหม่ นอกจากนี้ หลักฐานของเครื่องมือหิน เครื่องปั้นดินเผา และอาวุธหิน ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ในพื้นที่อย่างน้อย 10,000 ปีมาแล้ว ซึ่งตำนานการก่อตั้งโรมที่เป็นที่รู้จักดีก็อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดไปจากจุดเริ่มต้นของโรมที่แท้จริงและเกิดขึ้นมานานกว่าในตำนานมาก
ประวัติศาสตร์ตอนต้นของโรมนั้นถูกเล่าขานในรูปของตำนาน ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า โรมก่อตั้งขึ้นได้โรมูลุส เมื่อวันที่ 21 เมษายน 210 ปีก่อนพุทธกาล
โรม (อิตาลี: Roma; อังกฤษ: Rome) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5 ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและเนเปิลส์
นอกจากนี้ โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วย
หลังสิ้นสุดยุคกลาง โรมได้อยู่ภายใต้การปกครองของพระสันตะปาปา เช่น สมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 และสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 ผู้ซึ่งสร้างสรรค์ให้โรมกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในอิตาลีเช่นเดียวกับฟลอเรนซ์[2] ซึ่งในยุคสมัยดังกล่าว ได้มีการก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์แบบที่เห็นในปัจจุบัน และไมเคิลแองเจโลได้วาดภาพปูนเปียกประดับภายในวัดน้อยซิสตีน ศิลปินและสถาปนิกที่มีชื่อเสียงอย่างบรามันเต แบร์นินี และราฟาเอล ซึ่งพำนักอยู่ในโรมเป็นครั้งคราว ได้มีส่วนช่วยสรางสรรค์สถาปัตยกรรมแบบสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและแบบบารอกในโรมด้วยเช่นกัน
ใน พ.ศ. 2550 โรมเป็นเมืองที่มีผู้มาเยือนมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลก มากเป็นอันดับสามในสหภาพยุโรป และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในอิตาลี[3] ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก[4] นอกจากนี้ อนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์อย่างพิพิธภัณฑ์วาติกันและโคลอสเซียมยังจัดอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมมากที่สุด 50 อันดับแรกของโลก (พิพิธภัณฑ์วาติกันมีนักท่องเที่ยว 4.2 ล้านคนต่อปี และโคลอสเซียมมี 4 ล้านคนต่อปี)
การปกครอง
โรมเป็นเมืองหลวงของอิตาลี และเป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาลอิตาลี ทั้งที่พำนักของประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิตาลีและนายกรัฐมนตรีอิตาลี อาคารรัฐสภาอิตาลี และศาลรัฐธรรมนูญอิตาลี ล้วนแต่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ ที่ทำการของกระทรวงต่างๆ ตั้งกระจายอยู่ทั่วเมือง รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศที่ตั้งอยู่ในปาลัซโซเดลลาฟาร์เนซีนาใกล้กับสนามกีฬาโอลิมปิก
เทศบาลเมือง
โรมจัดเป็นหนึ่งในหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่น 8,101 หน่วยของอิตาลี และเป็นหน่วยที่ใหญ่ที่สุดทั้งในด้านพื้นที่และจำนวนประชากร บริหารโดยสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี โดย Gianni Alemann ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีคนปัจจุบัน สำนักงานเทศบาลคือ ปาลัซโซเซนาโตรีโอ บนเนินคาปิโตไลน์ โดยทั่วไปแล้วการปกครองส่วนท้องถิ่นในโรมจะถูกเรียกว่า "Campidoglio" ซึ่งเป็นชื่อเนินเขาในภาษาอิตาเลียน
ที่ตั้ง
โรมตั้งอยู่ในแคว้นลาซีโอทางตอนกลางของอิตาลี ริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ นิคมแรกเริ่มตั้งขึ้นบนเนินเขาที่หันหน้าไปทางบริเวณน้ำตื้นด้านข้างเกาะไทเบอร์ ซึ่งเป็นบริเวณน้ำตื้นตามธรรมชาติเพียงแห่งเดียวตามลำน้ำในพื้นที่นี้ Rome of the Kings สร้างขึ้นบนเนินเขาเจ็ดแห่ง ได้แก่ เนินเขา Aventine เนินเขา Caelian เนินเขา Capitoline เนินเขา Esquiline เนินเขา Palatine เนินเขา Quirinal และเนินเขา Viminal นอกจากนี้ โรมในยุคใหม่ยังมีพื้นที่พาดผ่านแม่น้ำอานีเอเน ที่บรรจบกับแม่น้ำไทเบอร์บริเวณทางเหนือของศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์
แม้ว่าใจกลางเมืองจะอยู่ห่างจากทะเลติร์เรเนียนประมาณ 24 กิโลเมตร แต่อาณาเขตของเมืองก็ขยายออกไปจนถึงชายฝั่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของย่าน Ostia พื้นที่ตอนกลางของโรมมีระดับความสูงแตกต่างกันตั้งแต่ 13 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล (ที่ฐานของแพนธีออน) ไปจนถึง 139 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล (ที่ยอดเนินมอนเตมารีโอ)[11] เขตการปกครองส่วนท้องถิ่นของโรมครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,285 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีพื้นที่สีเขียวอยู่หลายแห่ง
ประชากร
ประชากรเกือบทั้งหมดของโรมพูดภาษาโรมาเนสโก (สำเนียงเฉพาะถิ่นของภาษาอิตาเลียน) ในชีวิตประจำวันและในสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการ แต่เชื่อกันว่าทุกคนสามารถพูดภาษาอิตาเลียนมาตรฐานที่ใช้ในสถานการณ์ที่เป็นทางการมากขึ้นได้
ใน พ.ศ. 2550 ประชากรที่อาศัยอยู่ในโรมมีทั้งหมด 2,718,768 คน (ในพื้นที่ Greater Rome มีราว 4 ล้านคน) ในจำนวนนี้เป็นเพศชายร้อยละ 47.2 และเพศหญิงร้อยละ 52.8 เป็นผู้เยาว์ (อายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 18 ปี) ร้อยละ 17 และเป็นผู้รับบำนาญร้อยละ 20.76 เทียบกับค่าเฉลี่ยของชาวอิตาเลียนทั้งประเทศซึ่งเป็นผู้เยาว์ร้อยละ 18.06 และเป็นผู้รับบำนาญร้อยละ 19.94 อายุเฉลี่ยของประชากรในโรมอยู่ที่ 43 ปี เทียบกับค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศซึ่งอยู่ที่ 42 ปี ในระหว่าง พ.ศ. 2545-2550 ประชากรในโรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.54 ขณะที่ทั้งประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.56[14] อัตราการเกิดของประชากรในโรมอยู่ที่ 9.10 คนต่อประชากร 1,000 คน เทียบกับทั้งประเทศซึ่งอยู่ที่ 9.45 คน
กลุ่มชาติพันธุ์
จากสถิติล่าสุดที่รวบรวมโดย ISTAT [1] ในโรมมีประชากรที่ไม่ใช่ชาวอิตาเลียนอยู่ราวร้อยละ 9.5 ของประชากรทั้งหมด กลุ่มของผู้ย้ายถิ่นเข้านั้นประกอบด้วยชาวยุโรปสัญชาติอื่นๆ (ส่วนใหญ่เป็นชาวโรมาเนีย โปแลนด์ ยูเครน และแอลบาเนีย) จำนวน 131,118 คน หรือร้อยละ 4.7 ของประชากรทั้งหมดและเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ย้ายถิ่นเข้าทั้งหมด อีกร้อยละ 4.8 เป็นผู้ย้ายถิ่นที่ไม่ใช่ชาวยุโรป ส่วนใหญ่เป็นชาวฟิลิปปินส์จำนวน 26,933 คน บังกลาเทศ 12,154 คน เปรู 10,530 คน จีน 10,283 คน และสัญชาติอื่นๆ
ย่านเอสกวิลีโน นอกสถานีรถไฟแตร์มินี ได้พัฒนาเป็นย่านผู้ย้ายถิ่นเข้าขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันเป็นย่าน Chinatown ของโรม แต่ความจริงแล้วเป็นชุมชนของผู้ย้ายถิ่นจากกว่าหนึ่งร้อยประเทศ เนื่องจากเป็นย่านการค้าที่เฟื่องฟู จึงเป็นที่ตั้งของภัตตาคารจำนวนมากที่ให้บริการอาหารหลากหลายเชื้อชาติ
สถานที่สำคัญ
โรมโบราณ
หนึ่งในสัญลักษณ์ของโรมคือ โคลอสเซียม ซึ่งเป็นทวีอัฒจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมาในจักรวรรดิโรมัน เดิมทีนั้นมีที่นั่งที่จุผู้ชมได้ 60,000 คน ใช้เป็นสถานที่จัดการประลองของนักต่อสู้ โบราณสถานอื่นๆ ตั้งแต่สมัยโรมโบราณได้แก่ โรมันฟอรัม, Domus Aurea, แพนธีออน, คอลัมน์ทราจัน, Trajan's Market, สุสานใต้ดิน, Circus Maximus, Baths of Caracalla, Castel Sant'Angelo, Mausoleum of Augustus, Ara Pacis, Arch of Constantine, Pyramid of Cestius และบอกกาเดลลาเวริตะ
ยุคกลาง
โรมเป็นเมืองที่มีโบราณสถานจากยุคกลางอยู่มากที่สุดเมืองหนึ่งในอิตาลี แต่โบราณสถานเหล่านี้มักจะถูกมองข้ามไป ตัวอย่างของโบสถ์จากยุค Paleochristian ได้แก่ มหาวิหารซานตามาเรียมายอเร และมหาวิหารเซนต์พอลนอกกำแพง (สร้างใหม่ครั้งใหญ่เมื่อศตวรรษที่ 19) ทั้งสองแห่งมีงานโมเสกอันทรงคุณค่าจากสมัยศตวรรษที่ 4 งานโมเสกและภาพปูนเปียกที่มีชื่อเสียงในยุคกลางช่วงถัดมาอยู่ที่โบสถ์ซันตามาเรียอินตรัสเตเวเร ซันตีกวัตโตโคโรนาตี และซันตาปรัสเซเด สิ่งก่อสร้างอื่นๆ ในยุคกลางได้แก่หอคอยต่างๆ โดยหอคอยสองแห่งที่ใหญ่ที่สุดคือ ตอร์เรเดลเลมีลีซีเอ และตอร์เรเดย์กอนตี ทั้งสองแห่งอยู่ถัดจากโรมันฟอรัม นอกจากนี้ บันไดขนาดใหญ่ที่ทอดสู่โบสถ์ซันตามาเรียอินอาราโกเอลีก็สร้างขึ้นในยุคกลางเช่นกัน
โรมเคยเป็นศูนย์กลางในด้านศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาของโลก โดยเป็นรองเพียงฟลอเรนซ์เท่านั้น ผลงานสถาปัตยกรรมอันยอดเยี่ยมจากสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาคือ เปียซซาเดลกัมปีโดกลีโอ โดยไมเคิลแองเจโล ในยุคสมัยนี้ ตระกูลชนชั้นสูงในโรมหลายตระกูลได้สร้างที่อยู่อาศัยอันมั่งคั่งไว้ เช่น พระราชวัง Quirinal (ปัจจุบันเป็นที่ทำการของประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิตาลี) พระราชวังเวเนเซีย พระราชวังฟาร์เนเซ พระราชวังบาร์เบรีนี พระราชวังกีจี (ปัจจุบันเป็นที่ทำการของนายกรัฐมนตรีอิตาลี) พระราชวังสปาดา ปาลัซโซเดลลากันเชลเลเรีย และวิลลาฟาร์เนซีนา
พระราชวัง Quirinal
จัตุรัสหลายแห่งในโรมถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและแบบบาโรก โดยจัตุรัสที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และตกแต่งอย่างหรูหราโออ่ามักจะประดับด้วยเสาโอเบลิสก์ ตัวอย่างของจัตุรัสที่สร้างขึ้นในสมัยนี้ได้แก่ จัตุรัสนาโวนา บันไดสเปน Campo de' Fiore จัตุรัสเวเนเซีย จัตุรัสฟาร์เนเซ เปียซซาเดลลาโรทอนดา และเปียซซาเดลลามีแนร์วา หนึ่งในตัวอย่างของผลงานศิลปะบารอกที่ดีที่สุดคือ น้ำพุเตรวี สร้างโดยนีโกลา ซัลวี พระราชวังแบบบารอกในศตวรรษที่ 17 แห่งอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงได้แก่ พระราชวังมาดามา ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวุฒิสภาอิตาลี และพระราชวังมอนเตชีโตรีโอ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ Chamber of Deputies of Italy