
ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง (อังกฤษ: Post-Impressionism) เป็นคำที่คิดขึ้นโดยศิลปินและนักวิจารณ์ศิลปะชาวอังกฤษโรเจอร์ ฟราย (Roger Fry) ในปี ค.ศ. 1910 เพื่อบรรยายศิลปะที่วิวัฒนาการขึ้นในฝรั่งเศสหลังสมัยเอดัวร์ มาแน จิตรกรอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังยังคงสร้างงานศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ แต่ไม่ยอมรับความจำกัดของศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ จิตรกรสมัยหลังจะเลือกใช้สีจัด เขียนสีหนา ฝีแปรงที่เด่นชัดและวาดภาพจากของจริง และมักจะเน้นรูปทรงเชิงเรขาคณิตเพื่อจะบิดเบือนจากการแสดงออก นอกจากนั้นการใช้สีก็จะเป็นสีที่ไม่เป็นธรรมชาติและจะขึ้นอยู่กับสีจิตรกรต้องการจะใช้
คำว่า “อิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” เป็นคำที่เริ่มใช้ในปี ค.ศ. 1910 โดยศิลปินและนักวิพากษ์ศิลป์ชาวอังกฤษโรเจอร์ ฟราย สำหรับการแสดงงานศิลปะของจิตรกรฝรั่งเศสสมัยใหม่ที่จัดขึ้นในลอนดอน จิตรกรส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมอายุน้อยกว่าจิตรกรอิมเพรสชันนิสม์ ต่อมาฟรายให้คำอธิบายในการใช้คำว่า “อิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” ว่าเป็นการใช้ “เพื่อความสะดวก ที่จำเป็นต้องตั้งชื่อให้ศิลปินกลุ่มนี้โดยใช้ชื่อที่มีความหมายกว้างที่ไม่บ่งเฉพาะเจาะจงถึงแนวเขียน ชื่อที่เลือกก็คือ “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” เพื่อเป็นการแสดงการแยกตัวของศิลปินกลุ่มนี้แต่ยังแสดงความสัมพันธ์บางอย่างกับขบวนการอิมเพรสชันนิสม์เดิม
"อิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง" กระตุ้นอารมณ์ผ่านความรู้สึกลึกๆภายในมากกว่าต้องการแสดงศักยภาพหรือความสามารถ กระแสศิลปะนี้หันไปตอบสนองความต้องการตามทัศนคติของตัวศิลปิน รับแรงบันดาลใจจากเรื่องของการค้นหาหมายของชีวิต และอุทิศผลงานเพื่อความผาสุกของเหล่ามวลมนุษย์ ศิลปินโพสต์อิมเพรสชันนิสม์เชื่อว่าจิตวิญญาณกับธรรมชาติแยกออกจากกันแต่นำมาเชื่อมโยงกันผ่านการสังเคราะห์ด้วยการหลอมรวมจิตวิญญาณของศิลปินกับธรรมชาติ ผ่านผลงานไปสู่ผู้ชม ศิลปินเสนอภาพจากภายในไม่ใช่เพียงการลอกเลียนแบบความงามของธรรมชาติ แสดงเนื้อหาสำคัญอย่างนามธรรม ด้วยอารมณ์ที่เป็นอิสระ ไม่ยึดติดกับรูปแบบ รูปทรง หรือสีตามสิ่งที่ตาเห็น
จอห์น เรวอลด์ (John Rewald) ที่เป็นนักประวัติศาสตร์ศิลปะอาชีพคนแรกที่มีความสนใจในการกำเนิดของศิลปะสมัยใหม่ในระยะแรกที่จำกัดอยู่ในระยะเวลาของ
“ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” ที่นิยมกันระหว่าง ค.ศ. 1886 ถึงค.ศ. 1892 ในหนังสือ “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง: จากฟาน ก็อกฮ์ถึงโกแก็ง” (ค.ศ. 1956) เรวอลด์เห็นว่าเป็นขบวนการที่ต่อเนื่องจากหนังสือที่เขียนก่อนหน้านั้น “ประวัติของศิลปะอิมเพรสชันนิสม์” (ค.ศ. 1946) และให้ข้อสังเกตว่าเป็น “ฉบับที่อุทิศให้แก่สมัยหลังของศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง”[4]—“ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง: จากโกแก็งถึงมาติส” เป็นเล่มที่ตามมาแต่เล่มนี้รวมศิลปะแนวอื่นที่แตกหน่อมาจากศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ด้วย” และจำกัดเวลาระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เรวอลด์เน้นความสนใจกับการวิวัฒนาการของศิลปินอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังในระยะแรกในฝรั่งเศส: ฟินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์, ปอล โกแก็ง, ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา, โอดีลง เรอดง (Odilon Redon) และความสัมพันธ์ต่อกันในกลุ่ม และรวมถึงกลุ่มศิลปินอื่นที่ศิลปินกลุ่มนี้ให้ความสนใจหรือต่อต้าน
- ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ใหม่ (Neo-Impressionism): เยาะหยันโดยนักวิจารณ์ศิลปะร่วมสมัยและจิตรกรผสานจุดสี; ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา และปอล ซีญัก (Paul Signac) จะพอใจมากกว่าถ้าจะใช้คำอื่นแทนเช่นวิภาคนิยม หรือ “จุดสีเรือง” (Chromoluminarism) เป็นต้น
- คลัวซอนนิสม์ (Cloisonnism): เป็นขบวนการที่เขียนกันอยู่ไม่นานนักที่เริ่มเมื่อ ค.ศ. 1888 โดยนักวิจารณ์ศิลปะเอดัวร์ ดูว์ฌาร์แด็ง (Edouard Dujardin) เพื่อเป็นการเผยแพร่งานของหลุยส์ อ็องเกอแต็ง (Louis Anquetin) ที่ต่อมารวมทั้งงานของจิตรกรร่วมสมัยของเอมีล แบร์นาร์ด (Émile Bernard) ด้วย
- ลัทธิสังเคราะห์นิยม (Synthetism): เป็นขบวนการอายุสั้นอีกขบวนการหนึ่ง ใช้ในปี ค.ศ. 1889 เพื่อแยกงานของโกแก็งและแบร์นาร์ดจากงานของผู้ที่เขียนแบบอิมเพรสชันนิสม์ที่มีแนวโน้มไปทางแบบเดิมที่แสดงงานที่ The Volpini Exhibition ในปี ค.ศ. 1889
- กลุ่มปองต์อาวอง (Pont-Aven School): ที่หมายถึงเพียงกลุ่มศิลปินที่ทำงานในบริเวณปองต์อาวองหรือในบริเวณอื่นในบริตตานี
- ลัทธิสัญลักษณ์นิยม (Symbolism): เป็นคำที่เป็นที่ยอมรับเป็นอย่างดีในบรรดานักวิจารณ์ศิลปะใน ค.ศ. 1891 เมื่อโกแก็งทิ้งสังเคราะห์นิยมทันทีที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำของสัญลักษณ์นิยมในสร้างงานจิตรกรรม
นอกจากนั้นในบทนำใน “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” เรวอลด์เกริ่นเนื้อหาที่จะเขียนในเล่มสองที่จะรวมอ็องรี เดอ ตูลูซ-โลแทร็ก, อ็องรี รูโซ (Henri Rousseau), กลุ่มเลเนบีส์ (Les Nabis) ปอล เซซาน และลัทธิโฟวิสม์, ปาโบล ปีกัสโซ และการเดินทางครั้งสุดท้ายของโกแก็งไปทะเลไต้; ที่จะมีเนื้อคลอบคลุมอย่างน้อยจนถึงคริสต์ทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่เรวอลด์ไม่มีโอกาสเขียนเล่มสองเสร็จ
แอแลน โบวเนส (Alan Bowness) ยืดเวลา “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” ไปจนถึง ค.ศ. 1914 แต่จำกัดการเขียนในฝรั่งเศสลงไปอย่างมากในคริสต์ทศวรรษ 1890 ประเทศยุโรปอื่น ๆ ใช้มาตรฐานของ “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” ส่วนศิลปะของยุโรปตะวันออกไม่รวมอยู่ในกลุ่มนี้
แม้ว่า “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” จะแยกจาก “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์” ใน ค.ศ. 1886 แต่จุดจบของ “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” ยังไม่เป็นที่ตกลงกัน สำหรับโบวเนสและเรวอลด์แล้ว ลัทธิคิวบิสม์เป็นการเริ่มยุคใหม่ ฉะนั้นลัทธิคิวบิสม์จึงถือว่าเป็นการเริ่มยุคการเขียนใหม่ในฝรั่งเศสตั้งแต่ต้นและต่อมาในประเทศอื่น ขณะเดียวกันศิลปินยุโรปตะวันออกไม่คำนึงถึงการแบ่งแยกตระกูลการเขียนที่ใช้ในศิลปะตะวันตกก็ยังเขียนตามแบบที่เรียกว่าจิตรกรรมแอ็บสแตร็ค และอนุตรนิยม (Suprematism)—ซึ่งเป็นคำที่ใช้ต่อมาจนในคริสต์ศตวรรษที่ 20
ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง
http://th.wikipedia.org/wiki
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น